เมนู

[588] ครั้งนั้นแล อุตตรมาณพได้มีความคิดว่า พระสมณโคดม
ทรงประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ อย่ากระนั้นเลย เราพึงติด
ตามพระสมณโคดม พึงดูพระอิริยาบถของพระองค์เถิด ครั้งนั้นแล อุตตร
มาณพได้ติดตามพระผู้มีพระภาคเจ้าไปตลอด 7 เดือน ดุจพระฉายาติดตาม
พระองค์ไปฉะนั้น. ครั้งนั้นอุตตรมาณพได้เที่ยวจาริกไปทางเมืองมิถิลา ใน
วิเทหชนบทโดยล่วงไป 7 เดือน เมื่อเที่ยวจาริกไปโดยลำดับ ได้เข้าไปหา
พรหมณ์ที่เมืองมิถิลาไหว้พรหมายุพราหมณ์แล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้ว พรหมายุพราหมณ์ได้ถามว่า พ่ออุตตรมาณพ กิตติศัพท์ของท่าน
พระโคดมพระองค์นั้น ขจรไปแล้วเป็นจริงอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่นหรือ ก็
ท่านพระโคดมพระองค์นั้นเป็นเช่นนั้นไม่เป็นเช่นอื่นแลหรือ.

มหาปุริสลักษณะ 32 ประการ



[589] อุตตรมาณพตอบว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กิตติศัพท์ของท่าน
พระโคดมพระองค์นั้น ขจรไปแล้วเป็นจริงอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น และท่าน
พระโคดมพระองค์นั้นเป็นเช่นนั้นจริง ไม่เป็นอย่างอื่น ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ท่านพระโคดมพระองค์นั้น ทรงประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 ประการคือ
1. ท่านพระโคดมพระองค์นั้นมีพระบาทประดิษฐานอยู่
ด้วยดี แม้ข้อนี้ก็เป็นมหาปุริสลักษณะแห่งมหาบุรุษ ของท่านพระ-
โคดมพระองค์นั้น
2. มีลายจักรอันมีกำพันหนึ่ง มีกงพันหนึ่ง มีดุมพันหนึ่ง
บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง เกิดภายใต้ฝ่าพระบาททั้งสอง
3. ทรงมีพระส้นยาว
4. ทรงมีพระองคุลียาว
5. ทรงมีฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทอ่อนนุ่ม
6. ทรงมีฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทเป็นลายตาข่าย

7. ทรงมีพระบาทสูงนูน
8. พระมีพระชงฆ์เรียวดังแข้งเนื้อทราย
9. ทรงประทับยืนตรง ไม่ค้อมลง ฝ่าพระหัตถ์ทั้งสองลูบ
คลำพระชานุมณฑลทั้งสองได้
10. ทรงมีพระคุยหฐานเร้นอยู่ในฝัก
11. ทรงมีพระฉวีรรณดังทองคำ
12. ทรงมีพระฉวีละเอียดดังผิวทองคำเพราะทรงมีพระฉวี
ละเอียดฝุ่นละอองไม่ติดพระกาย
13. ทรงมีพระโลมาขุมละเส้น
14. ทรงมีพระโลมาปลายงอนขึ้นเบื้องบนทุกเส้น สีเขียว
ดังดอกอัญชัน ขอเป็นมณฑลทักษิณาวัฏ
15. ทรงมีพระกายตรงดังกายพรหม
16. ทรงมีพระกายเต็มในที่ 7 แห่ง
17. มีพระกายเต็มดังกึ่งกายเบื้องหน้าแห่งสีหะ
18. ทรงมีพระปฤษฎางค์เต็ม
19. ทรงมีปริมณฑลดังต้นนิโครธ มีพระกายกับวาเท่ากัน
20. ทรงมีพระศอกลมเสมอ
21. ทรงมีเส้นประสาทสำหรับรับรสหมดจดดี
22. ทรงมีพระหนุดังคางราชสีห์
23. ทรงมีพระทนต์ 40 ซี่
24. ทรงมีพระทนต์เสมอ
25. ทรงมีพระทนต์ไม่ห่าง
26. ทรงมีพระทาฐาอันขาวงาม

27. ทรงมีพระชิวหาใหญ่ยาว
28. ทรงมีพระสุรเสียงดังเสียพรหม
29. ทรงมีพระเนตรดำสนิท
30. ทรงมีดวงพระเนตรดังตาโค
31. ทรงมีพระอุณาโลมขาวละเอียดอ่อนดังสำลี เกิด
ระหว่างพระโขนง
32. มีพระเศียรกลมเป็นปริมณฑลดังประดับด้วยกรอบ
พระพักตร์.

ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านพระโคดมพระองค์นั้นทรงประกอบด้วย
มหาปุริสลักษณะ 32 ประการนี้แล และท่านพระโคดมพระองค์นั้น เมื่อจะ
เสด็จดำเนิน ทรงก้าวพระบาทเบื้องขวาก่อน ไม่ทรงยกพระบาทไกลนัก ไม่ทรง
วางพระบาทใกล้นัก ไม่เสด็จดำเนินเร็วนัก ไม่เสด็จดำเนินช้านัก เสด็จ-
ดำเนินพระชานุไม่กระทบพระชานุ ข้อพระบาทไม่กระทบข้อพระบาท ไม่ทรง
ยกพระอุรุสูง ไม่ทรงทอดพระอุรุไปข้างหลัง ไม่ทรงกระแทกพระอุรุ ไม่ทรง
ส่ายพระอุรุ เมื่อเสด็จดำเนินพระกายส่วนบนไม่หวั่นไหว ไม่เสด็จดำเนินด้วย
กำลังพระกาย เมื่อทอดพระเนตร ก็ทอดพระเนตรด้วยพระกายทั้งหมด ไม่
ทอดพระเนตรขึ้นเบื้องบน ไม่ทอดพระเนตรลงเบื้องต่ำ เสด็จดำเนินไม่ทรง
เหลียวแล ทอดพระเนตรประมาณชั่วแอก ยิ่งกว่านั้น พระองค์ทรงมีพระ-
ญาณทัสสนะอันไม่มีอะไรกัน เมื่อเสด็จเข้าสู่ละแวกบ้าน ไม่ทรงยืดพระกาย
ไม่ทรงย่อพระกาย ไม่ทรงห่อพระกาย ไม่ทรงส่ายพระกาย เสด็จเข้าประทับ
นั่งอาสนะไม่ไกลนัก ไม่ใกล้นัก ไม่ประทับนั่งเท้าพระหัตถ์ ไม่ทรงพิงพระกาย
ที่อาสนะ เมื่อประทับนั่งในละแวกบ้าน ไม่ทรงคะนองพระหัตถ์ ไม่ทรงคะนอง
พระบาท ไม่ประทับนั่งชันพระชานุ ไม่ประทับนั่งซ้อนพระบาท ไม่ประทับ

นั่งยันพระหนุ เมื่อประทับนั่งในละแวกบ้าน ไม่ทรงครั่นคร้าม ไม่ทรงหวั่นไหว
ไม่ทรงขลาด ไม่ทรงสะดุ้ง ทรงปราศจากโลมชาติชูชัน ทรงเวียนมาในวิเวก
เมื่อประทับนั่งในละแวกบ้าน เมื่อทรงรับน้ำล้างบาตร ไม่ทรงชูบาตรขึ้นรับ
ไม่ทรงลดบาตรลงรับ ไม่ทรงจ้องบาตรคอยรับ ไม่ทรงแกว่งบาตรรับ ทรง
รับน้ำล้างบาตรไม่น้อยนัก ไม่มากนัก ไม่ทรงล้างบาตรดังขลุก ๆ ไม่ทรงหมุน
บาตรล้าง ไม่ทรงวางบาตรที่พื้น ทรงล้างบนพระหัตถ์ เมื่อทรงล้างพระหัตถ์
แล้ว ก็เป็นอันทรงล้างบาตรแล้ว เมื่อทรงล้างบาตรแล้ว เป็นอันทรงล้าง
พระหัตถ์แล้ว ทรงเทน้ำล้างบาตรไม่ไกลนัก ไม่ใกล้นัก และทรงเทไม่ให้น้ำ
กระเซ็น เมื่อทรงรับข้าวสุก ไม่ทรงลดบาตรลงรับ ไม่ทรงลดบาตรลงรับ ไม่
ทรงจ้องบาตรคอยรับ ไม่ทรงแกว่งบาตรรับ ทรงรับข้าวสุกไม่น้อยนัก ไม่มาก
นัก ทรงรับกับข้าวเสวยอาหารพอประมาณกับข้าว ไม่ทรงน้อมคำข้าวให้เกิน
กว่ากับ ทรงเคี้ยวคำข้าวในพระโอษฐ์สองสามครั้งแล้วทรงกลืน เยื่อข้าวสุกยัง
ไม่ระคนกันดีเล็กน้อย ย่อมเข้าสู่พระกาย ไม่มีเยื่อข้าวสุกสักนิดหน่อยเหลืออยู่ใน
พระโอษฐ์ ทรงน้อมคำข้าวเข้าไปแต่กึ่งหนึ่ง ทรงทราบรสได้อย่างดีเสวยอาหาร
แต่ไม่ทรงทราบด้วยดีด้วยอำนาจความกำหนัดในรส เสวยอาหารประกอบด้วย
องค์ 8 ประการ คือ ไม่เสวยเพื่อนเล่น 1 ไม่เสวยเพื่อมัวเมา 1 ไม่
เสวยเพื่อประดับ 1 ไม่เสวยเพื่อตกแต่ง 1 เสวยเพียงดำรงพระกาย
นี้ไว้ 1 เพื่อยังพระชนมชีพให้เป็นไป 1 เพื่อป้องกันความลำบาก 1
เพื่อทรงอนุเคราะห์ 1
ด้วยทรงพระดำริว่า เพียงเท่านี้ก็จักกำจัดเวทนาเก่า
ได้ จักไม่ให้เวทนาใหม่เกิดขึ้น ร่างกายของเราจักเป็นไปสะดวก จักไม่มีโทษ
และจักมีความอยู่สำราญ เมื่อเสวยภัตตาหารเสร็จแล้ว เมื่อจะทรงรับน้ำล้าง
บาตร ไม่ทรงชูบาตรขึ้นรับ ไม่ทรงลดบาตรลงรับ ไม่ทรงจ้องบาตรคอยรับ
ไม่ทรงแกว่งบาตรรับ ทรงรับน้ำล้างบาตรไม่น้อยนัก ไม่มากนัก ไม่ทรงล้าง

บาตรดังขลุก ๆ ไม่ทรงหมุนบาตรล้าง ไม่ทรงวางบาตรที่พื้น ทรงล้างบนพระ-
หัตถ์แล้ว ก็เป็นอันทรงล้างบาตรแล้ว เมื่อทรงล้างบาตรแล้ว ก็เป็นอันล้าง
พระหัตต์แล้ว ทรงเทน้ำล้างบาตรไม่ไกลนัก ไม่ใกล้นัก และทรงเทไม่ให้น้ำ
กระเซ็น เมื่อเสวยภัตตาหารเสร็จแล้ว ไม่ทรงวางบาตรที่พื้น ทรงวางในที่ไม่
ไกลนัก ไม่ใกล้นัก จะไม่ทรงต้องการบาตรก็หามิได้ แต่ก็ไม่ตามรักษาบาตรจน
เกินไป เมื่อเสวยเสร็จแล้ว ประทับนิ่งเฉยอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่ทรงยังเวลาแห่ง
การอนุโมทนาให้ล่วงไป เสวยเสร็จแล้วก็ทรงอนุโมทนา ไม่ทรงติเตียนภัตนั้น
ไม่ทรงหวังภัตอื่น ทรงชี้แจงให้บริษัทนั้นเห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ
ให้ร่าเริง ด้วยธรรมกถา ครั้นแล้วทรงลุกจากอาสนะเสด็จไป ไม่เสด็จเร็วนัก
ไม่ผลุนผลันเสด็จไป ไม่ทรงจีวรสูงเกินไป ไม่ทรงจีวรต่ำเกินไป ไม่ทรงจีวร
แน่นติดพระกาย ไม่ทรงจีวรกระจุยกระจายจากพระกาย ทรงจีวรไม่ให้ลมพัด
แหวกได้ ฝุ่นละอองไม่ติดพระกาย เสด็จถึงพระอารามแล้วประทับนั่ง ครั้น
ประทับนั่งบนอาสนะที่เขาจัดไว้ถวายแล้ว จึงทรงล้างพระบาท ไม่ทรงประกอบ
การประดับพระบาท ทรงล้างพระบาทแล้ว ประทับนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งพระกาย
ตรงดำรงพระสติไว้เบื้องพระพักตร์ ไม่ทรงดำริเพื่อเบียดเบียนพระองค์เอง ไม่
ทรงดำริเพื่อเบียดเบียนผู้อื่น ไม่ทรงดำริเพื่อเบียดเบียนทั้งสองฝ่าย ประทับนั่ง
ทรงดำริแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่พระองค์ สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น สิ่งที่เป็น
ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย และสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่โลกทั้งปวง เนื้อประทับอยู่ใน
พระอารามทรงแสดงธรรมในบริษัท ไม่ทรงยอบริษัท ไม่ทรงรุกรานบริษัท
ทรงชี้แจงให้บริษัทเห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธรรมีกถา
ทรงมีพระสุรเสียงอันก้องเปล่งออกจากพระโอษฐ์ ประกอบด้วยองค์ 8 ประการ
คือ สละสลวย 1 รู้ได้ชัดเจน 1 ไพเราะ 1 ฟังง่าย 1 กลมกล่อม 1
ไม่พร่า 1 พระสุรเสียงลึก 1 มีกังวาล 1
บริษัทจะอย่างไร ก็ทรง

ให้เข้าใจด้วยพระสุรเสียงได้ พระสุรเสียงมิได้ก้องออกนอกบริษัท ชนทั้งหลาย
ที่ท่านพระโคดมทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง
ด้วยธรรมีกถา เมื่อลุกจากที่นั่งไป ยังเหลียวดูโดยไม่อยากจะละไป ต่างรำพึง
ว่า เราได้เห็นท่านพระโคดมพระองค์นั้นเสด็จดำเนิน ประทับยืน เสด็จเข้า
ละแวกบ้าน ประทับนั่งนิ่งในละแวกบ้าน กำลังเสวยภัตตาหารในละแวกบ้าน
เสวยเสด็จแล้วประทับนั่งนิ่ง เสวยเสร็จแล้วทรงอนุโมทนา เมื่อเสด็จกลับมา
ยังพระอาราม เมื่อเสด็จถึงพระอารามแล้วประทับนั่งนิ่งอยู่ เมื่อประทับอยู่ใน
พระอาราม กำลังทรงแสดงธรรมในบริษัท ท่านพระโคดมพระองค์นั้นทรง
พระคุณเช่นนี้ ๆ และทรงพระคุณยิ่งกว่าที่กล่าวแล้วนั้น.
[590] เมื่ออุตตรมาณพกล่าวอย่างนี้แล้ว พรหมายุพราหมณ์ลุกจากที่
นั่งห่มผ้าเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีไปทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่
แล้วเปล่งอุทานขึ้น 3 ครั้งว่า ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
แล้วคิดว่า ไฉนหนอ เราจึงจะได้สมาคม
กับท่านพระโคดมพระองค์นั้น สักครั้งคราว ไฉนหนอ จะพึงได้เจรจาปราศรัย
สักหน่อยหนึ่ง.
[591] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปในวิเทหชนบทโดย
ลำดับ เสด็จถึงเมืองมิถิลา ได้ทราบว่า ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่
ณ มฆเทวอัมพวัน ใกล้เมืองมิถิลา พราหมณ์และคฤหบดีชาวเมืองมิถิลา ได้
สดับข่าวว่า พระสมณโคดมศากยบุตร ทรงผนวชจากศากยสกุล เสด็จเที่ยว
จารึกไปในวิเทหชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ 500 รูป เสด็จ
ถึงเมืองมิถิลาแล้ว ประทับ อยู่ ณ มฆเทวอัมพวัน ใกล้เมืองมิถิลาแล้ว ก็
กิตติศัพท์อันงามของท่านพระโคคนพระองค์นั้น ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้
เพราะเหตุนี้ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์... เป็น

ผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม พระองค์ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก
มารโลก พรหมโลกให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรง
สอนหมู่สัตว์ พร้อมทั่งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ให้รู้ตาม ทรงแสดง
ธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหม-
จรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การได้
เห็นพระอรหันต์ทั้งหลายเห็นปานนี้ย่อมเป็นความดีแล ลำดับนั้นแล พราหมณ์
เละคฤหบดีชาวเมืองมิถิลา ได้พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ
ครั้นแล้ว บางพวกถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วน
ข้างหนึ่ง บางพวกได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้
ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกประนมอัญชลีไป
ทางพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกประกาศชื่อ
และโคตรในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บาง
พวกนั่งนิ่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
[592] พรหมายุพราหมณ์ได้สดับข่าวว่า พระสมณโคดมศากยบุตร
ทรงผนวชจากศากยสกุล ประทับอยู่ ณ มฆเทวอัมพวัน ใกล้เมืองมิถิลา
ครั้งนั้นแล พรหมายุพราหมณ์พร้อมด้วยมาณพเป็นอันมาก พากันเข้าไปยัง
มฆเทวอัมพวัน ลำดับนั้น พรหมายุพราหมณ์ ได้มีความคิดขึ้นในที่ไม่ไกล
มฆเทวอัมพวันว่า การที่เราไม่ทูลให้ทรงทราบเสียก่อน พึงเข้าไปเฝ้าพระสม-
โคดมไม่สมควรแก่เราเลย ลำดับนั้น พรหมายุพราหณ์เรียกมาณพคนหนึ่งมา
กล่าวว่า มานี่แน่ พ่อมาณเพ พ่อจงเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดมถึงที่ประทับ แล้ว
จึงทูลถามพระสมณโคดมถึงความมีพระอาพาธน้อย มีพระโรคเบาบาง ทรง
กระปรี้กระเปร่า มีพระกำลัง ทรงพระสำราญ ตามคำของเราว่า ข้าแต่ท่าน

พระโคดม พรหมายุพราหมณ์ทูลถามท่านพระโคดมถึงความมีพระอาพาธน้อย...
ทรงพระสำราญ และจงทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม พรหมายุพราหมณ์
เป็นคนแก่เฒ่า เป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยมาโดยลำดับ มีอายุ 12 ปี แต่
เกิดมา รู้จบไตรเพทพร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุและคัมภีร์เกฏุภะ พร้อมทั้งประ-
เภทอักษร มีคัมภีร์อิติหาสะเป็นที่ 5 เข้าใจตัวบท เข้าใจไว้ยากรณ์ ชำนาญ
ในคัมภีร์โลกายตะและตำราทำนายมหาปุริสลักษณะ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พราหมณ์
และคฤหบดีมีประมาณเท่าใด ย่อมอยู่อาศัยในเมืองมิถิลา พรหมายุพราหมณ์
ปรากฏว่าเลิศกว่าพราหมณ์และคฤหบดีเหล่านั้น เพราะโภคะ เพราะมนต์
เพราะอายุและยศ ท่านปรารถนาจะมาเฝ้าท่านพระโคดม.
[593] มาณพนั้นรับดำพรหมายุพราหมณ์แล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มี-
พระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการ
ปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้
กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม พรหมายุพราหมณ์ทูล
ถามท่านพระโคดมถึงความมีพระอาพาธน้อย... ทรงพระสำราญ ข้าแต่ท่าน
พระโคดม พรหมายุพราหมณ์เป็นคนแก่เฒ่า เป็นผู้ใหญ่... ท่านปรารถนาจะ
มาเฝ้าท่านพระโคดม พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มาณพ พรหมายุ
พราหมณ์ ย่อมรู้กาลอันควรในบัดนี้เถิด.
ครั้งนั้นแล มาณพนั้นจึงเจ้าไปหาพราหมณ์ถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้
กล่าวกะพรหมายุพราหมณ์ว่า ท่านเป็นผู้อันพระสมณโคดมประทานโอกาสแล้ว
จงรู้กาลอันควรในบัดนี้เถิด.
[594] ลำดับนั้น พรหมายุพราหมณ์ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า บริษัทนั้นได้เห็นพรหมายุพราหมณ์มาแต่ไกล จึงรีบลุกขึ้นให้โอกาส
ตามสมควรแก่ผู้มีชื่อเสียง มียศ ครั้งนั้น พรหมายุพราหมณ์ได้กล่าวกะบริษัท

นั้นว่า อย่าเลยท่านผู้เจริญทั้งหลาย เชิญท่านทั้งหลายนั่งบนอาสนะของตน ๆ
เราจักนั่งในสำนักแห่งพระสมณโคดมนี้ ลำดับนั้น พรหมายุพราหมณ์ได้เข้า
ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้น
ผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้น
แล้วพิจารณาดูมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ ในพระกายของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ได้เห็นมหาปุริสลักษณะ 32 ประการโดยมากเว้นอยู่ 2 ประการ คือ
พระคุยหฐานอันเร้นอยู่ในฝัก 1 พระชิวหาใหญ่ 1 จึงยังเคลือบแคลง สงสัย
ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในพระมหาปุริสลักษณะ 2 ประการ ลำดับนั้น
พรหมายุพราหมณ์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า
ข้าแต่พระโคดม มหาปุริสลักษณะ
อันข้าพเจ้าได้สดับมาว่า 32 ประการ แต่
ยังไม่เห็นอยู่ 2 ประการในพระกายของ
พระองค์ท่าน ข้าแต่พระองค์ผู้สูงสุดว่า
นรชน พระคุยหฐานของพระองค์ท่าน
เร้นอยู่ในฝัก ที่ผู้ฉลาดกล่าวว่า คล้ายนารี
หรือพระชิวหาได้นรลักษณ์หรือ พระองค์
มีพระชิวหาใหญ่หรือ ไฉนข้าพเจ้าจึงจะ
ทราบความข้อนั้น ขอพระองค์ทรงค่อยนำ
พระลักษณะนั้นออก ขอได้โปรดทรงกำจัด
ความสงสัยของข้าพเจ้าเถิด ข้าแต่ท่าน
ฤาษี ถ้าพระองค์ประทานโอกาส ข้าพเจ้า
จะขอทูลถามปัญหาที่ข้าพเจ้าปรารถนายิ่ง

อย่างหนึ่ง เพื่อประโยชน์เกื้อกูลในปัจจุบัน
และเพื่อความสุขในสัมปรายภพ.

[595] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงพระดำริว่า พรหมายุ
พราหมณ์เห็นมหาปุริสลักษณะ 32 ประการของเราโดยมาก เว้นอยู่ 2 ประ-
การคือ คุยหฐานอันเร้นอยู่ในฝัก 1 ลิ้นใหญ่ 1 ยังเคลือบแคลง สงสัย ไม่น้อม
ใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในมหาปุริสลักษณะ 2 ประการ ลำดับนั้น พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าจึงทรงบันดาลอิทธาภิสังขาร ให้พรหมายุพราหมณ์ได้เห็นพระคุยหฐาน
อันเร้นอยู่ในฝัก และทรงแลบพระชิวหาสอดเข้าช่องพระกรรณทั้งสองกลับไป
มา สอดเข้าช่องพระนาสิกทั้งสองกลับไปมา ทรงแผ่ปิดทั่วมณฑลพระนลาฏ
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะพราหมณ์ด้วยพระคาถาว่า
ดูก่อนพราหมณ์ มหาปุริสลักษณะที่
ท่านได้สดับมาว่า 32 ประการนั้น มีอยู่
ในกายของเราครบทุกอย่าง ท่านอย่าสงสัย
เลย ดูก่อนพราหมณ์ สิ่งที่ควรรู้ยิ่งเรารู้ยิ่ง
แล้ว สิ่งที่ควรเจริญเราเจริญแล้วและสิ่งที่
ควรละเราละได้แล้ว เพราะเหตุนั้น เราจึง
เป็นพุทธะท่านเป็นผู้อันเราให้โอกาสแล้ว
เชิญถามปัญหาที่ปรารถนายิ่งอย่างหนึ่ง
เพื่อประโยชน์เกื้อกูลในปัจจุบันและเพื่อ
ความสุขในสัมปรายภพเถิด.

[596] ครั้งนั้นแล พรหมายุพราหมณ์ได้มีความดำริว่า เราเป็นผู้
อันพระสมณโคดมประทานโอกาสแล้ว จะพึงทูลถามประโยชน์ในปัจจุบันหรือ

ประโยชน์ในสัมปรายภพหนอ ลำดับนั้นแล พรหมายุพราหมณ์ได้มีความ
คิดว่า เราเป็นผู้ฉลาดในประโยชน์ปัจจุบัน แม้คนอื่น ๆ ก็ถามเราถึงประโยชน์
ในปัจจุบัน ถ้ากระไร เราพึงทูลถามประโยชน์ในสัมปรายภพกะพระสมณโคดม
เถิด ลำดับนั้น พรหมายุพราหมณ์ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า
ข้าแต่พระองค์เจริญ อย่างไรบุคคล
จึงชื่อว่าเป็นพราหมณ์ อย่างไรชื่อว่าเป็น
ผู้จบเวท อย่างไรชื่อว่าเป็นผู้มีวิชชา 3
บัณฑิตกล่าวบุคคลเช่นไรชื่อว่าเป็นผู้มี
ความสวัสดี อย่างไรชื่อว่าเป็นพระอรหันต์
อย่างไรชื่อว่ามีคุณครบถ้วน อย่างไรชื่อว่า
เป็นมุนีและบัณฑิตกล่าวบุคคลเช่นไรว่า
เป็นพุทธะ.

[597] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสตอบพราหมณ์ด้วย
พระคาถาว่า
ผู้ใดรู้ระลึกชาติก่อน ๆ ได้ เห็น
สวรรค์และอบาย บรรลุถึงควานสิ้นชาติ
ผู้นั้นชื่อว่าเป็นมุนีผู้รู้ยิ่งถึงที่สุด มุนีนั้น
ย่อมรู้จิตอันบริสุทธิ์อันพ้นแล้วจากราคะ
ทั้งหลายโดยประการทั้งปวง เป็นผู้ละชาติ
และมรณะได้แล้ว ชื่อว่ามีคุณครบถ้วน
แห่งพรหมจรรย์ ชื่อว่าถึงฝั่งแห่งธรรมทั้ง
ปวง บัณฑิตกล่าวบุคคลผู้เช่นนั้นว่าเป็น
พุทธะ.

[598] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว พรหมายุพราหมณ์
ลุกขึ้นจากที่นั่ง ห่มผ้าเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ซบศีรษะลงแทบพระยุคลบาทของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า จูบพระยุคลบาทด้วยปาก นวดด้วยฝ่ามือ และประกาศ
ชื่อของตนว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์เป็นพราหมณ์ชื่อพรหมายุ
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์เป็นพราหมณ์ชื่อพรหมายุ. ครั้งนั้นแล
บริษัทนั้นเกิดความอัศจรรย์ใจว่า น่าอัศจรรย์นักหนอ ท่านผู้เจริญ ไม่เคยมีมา
หนอ ท่านผู้เจริญ พระสมณะเป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก พรหมายุ
พราหมณ์นี้เป็นผู้มีชื่อเสียง มียศยังทำความเคารพนบนอบอย่างยิ่งเห็นปานนี้
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะพรหมายุพราหมณ์ว่า พอละ พราหมณ์
เชิญท่านลุกขึ้นนั่งบนที่นั่งของตนเถิด เพราะจิตของท่านเลื่อมใสในเราแล้ว
ลำดับนั้น พรหมายุพราหมณ์จึงลุกขึ้นนั่งบนที่นั่งของตน.
[599] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอนุปุพพิกถาแก่พรหมายุ-
พราหมณ์ คือ ทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษของกามทั้งหลาย
อันต่ำทราม เศร้าหมอง และอานิสงส์ในเนกขัมมะ เมื่อใด พระผู้มีพระ-
ภาคได้ทรงทราบว่า พรหมยุพราหมณ์มีจิตคล่อง มีจิตอ่อน ปราศจากนิวรณ์
มีจิตสูงผ่องใส เมื่อนั้นจึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ธรรม
จักษุอันปราศจากธุลีปราศจากมลทิน เกิดขึ้นแก่พรหมายุพราหมณ์ ณ ที่นั่ง
นั้นเองว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความ
ดับไปเป็นธรรมดา เปรียบเหมือนผ้าขาวที่สะอาด ปราศจากดำ ควรรับน้ำย้อม
ด้วยดี ฉะนั้น.
[600] ครั้งนั้นแล พรหมายุพราหมณ์ผู้เห็นธรรมแล้ว บรรลุธรรม
แล้ว รู้แจ้งธรรมแล้ว หยั่งทราบธรรมแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศ

จากความเคลือบแคลง ถึงความแกล้วกล้า ไม่ต้องเธอผู้อื่นในคำสอนของพระ
ศาสดา ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของ
พระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้ง
นัก. . . ขอพระโคดมผู้เจริญโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะ
ตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อนึ่ง ขอพระโคดมผู้เจริญพร้อมด้วยภิกษุ
สงฆ์โปรดรับภัตตาหารของข้าพระองค์ในวันพรุ่งนี้เถิด พระเจ้าข้า พระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงรับอาราธนาด้วยดุษณีภาพ.
[601] ครั้งนั้นแล พรหมายุพราหมณ์ทราบว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
รับอาราธนาแล้ว จึงลุกจากที่นั่ง ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าทำประทักษิณ
แล้วหลีกไปครั้งนั้นพรหมายุพราหมณ์ได้สั่งให้ตกแต่งขาทนียโภชนียาหารอย่าง
ประณีต ในนิเวศน์ของตนตลอดคืนยังรุ่ง แล้วใช้คนให้ไปกราบทูลเวลาภัตกาล
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ถึงเวลาแล้ว พระเจ้าข้า
ภัตตาหารสำเร็จแล้ว ครั้งนั้นเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงครองอันตร-
วาสกแล้ว ทรงถือบาตรและจีวรเสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของพรหมายุพราหมณ์
แล้วประทับนั่งบนอาสนะที่เขาจัดไว้ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ลำดับนั้น พรหมายุ
พราหมณ์ได้อังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ให้อิ่มหนำเพียงพอด้วย
ขาทนียโภชนียาหารอันประณีตด้วยมือของคนตลอด 7 วัน ครั้งนั้น พอล่วง 7
วันนั้นไป พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกไปในวิเทหชนบท.
[602] ครั้งนั้นแล เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จหลีกไปไม่นาน
พรหมายุพราหมณ์ได้ทำกาละ ครั้งนั้น ภิกษุเป็นอันมากพากันเข้าไปเฝ้าพระ
ผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วจึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้น
แล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พรหมายุพราหมณ์

ทำกาละแล้ว คติของเขาเป็นเช่นไร ภพเบื้องหน้าของเขาเป็นเช่นไร พระ
เจ้าข้า.
[603] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ภิกษุทั้งหลาย พรหมายุ
พราหมณ์เป็นบัณฑิต ได้บรรลุธรรมตามลำดับธรรมไม่เบียดเบียนเราให้ลำบาก
เพราะเหตุแห่งธรรมเลย พรหมายุพราหมณ์เป็นอุปปาติกะ (อนาคามี) จัก
ปรินิพพานในภพนั้นมีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะสังโยชน์เบื้อง
ต่ำ 5 สิ้นไป.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีใจชื่น
ชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ฉะนี้แล.

จบ พรหมายุสูตรที่ 1

พราหมณวรรค



อรรถกถาพรหมายุสูตร



พรหมายุสูตร ขึ้นต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
ในพรหมายุสูตรนั้น คำว่า ใหญ่ ในบทว่า พร้อมกับหมู่ภิกษุ
ใหญ่
นั้น ชื่อว่าใหญ่ เพราะความใหญ่ด้วยคุณบ้าง ใหญ่ด้วยจำนวนบ้าง.
จริงอยู่ หมู่ภิกษุนั้น เป็นหมู่ใหญ่ แม้ด้วยคุณทั้งหลาย. จัดว่าใหญ่เพราะ
ประกอบด้วยคุณมีความมักน้อยเป็นต้น และเพราะนับได้ถึง 500 รูป. กับหมู่
แห่งพวกภิกษุ ชื่อว่าหมู่ภิกษุ. อธิบายว่า กับหมู่สมณะที่มีทิฏฐิสามัญญตา และ
สีลสามัญญตา เท่าเทียมกัน. คำว่า พร้อม คือ ด้วยกัน. คำว่า ภิกษุ
ประมาณ 500 รูป
คือ ชื่อว่ามีประมาณห้า เพราะประมาณห้าแห่งร้อย
ของภิกษุเหล่านั้น. ประมาณท่านเรียกว่า มาตรา. เพราะฉะนั้นจึงมีอธิบายว่า
ภิกษุรู้จักมาตราคือรู้จักประมาณในโภชนะ ที่ตรัสว่า เป็นผู้รู้จักประมาณใน
โภชนะ ฉันใด แม้ในที่นี้ก็พึงเห็นเนื้อความอย่างนี้ว่า มาตราห้าได้แก่
ประมาณห้าแห่งร้อยของภิกษุเหล่านั้น ฉันนั้น. ร้อยทั้งหลายแห่งพวกภิกษุ
ชื่อว่าร้อยแห่งภิกษุทั้งหลาย. กับร้อยแห่งภิกษุทั้งหลาย มีประมาณห้าเหล่านั้น.
คำว่า มีปี 120 คือ มีอายุ 120 ปี. คำว่า แห่งเวททั้งสาม คือแห่ง
ฤคเวท ยชุรเวท และ สามเวท. ชื่อว่า ผู้ถึงฝั่ง เพราะถึงฝั่งด้วยอำนาจการ
ท่องคล่องปาก. พร้อมด้วย นิฆัณฑุ และเกฏุภะ ชื่อว่าพร้อมกับนิฆัณฑุ
และเกฏุภะ. ศาสตร์ที่ประกาศคำสำหรับใช้แทน นิฆัณฑุศาสตร์ และพฤกษ-